ดื่มน้ำขิงหลังมื้ออาหาร ช่วยให้การดูดซึมดีขึ้น

ดื่มน้ำขิงหลังมื้ออาหาร ช่วยให้การดูดซึมดีขึ้น

ดื่มน้ำขิงหลังมื้ออาหาร ดีอย่างไร?

การดื่มน้ำขิงหลังมื้ออาหารจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมอาหารได้ดีขึ้น เพราะสาร Gingerol ในขิงมีฤทธิ์ช่วยกระตุ้นการหลั่งน้ำย่อย ทำให้อาหารย่อยได้ดีขึ้น

นอกจากนี้ยังช่วยเรื่องอื่นๆดังนี้

  • ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ลดการอักเสบ: ขิงมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ช่วยลดอาการปวดท้องและอาการระคายเคืองในลำไส้
  • บรรเทาอาการคลื่นไส้: ขิงช่วยลดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ซึ่งมักเกิดจากการย่อยอาหารไม่ดี
  • ช่วยขับลม: ขิงช่วยขับลมในลำไส้ ลดอาการท้องอืด
  • มีฤทธิ์เป็นยาฆ่าเชื้อ: ช่วยลดการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร

ช่วยระบบย่อย ระบบดูดซึมอย่างไร?

  • กระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้
  • ลดการอักเสบ
  • ป้องกันแผลในกระเพาะอาหาร
  • บรรเทาอาการคลื่นไส้
  • ช่วยในการดูดซึมสารอาหาร

ขิงเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหารได้เป็นอย่างดี สารสำคัญในขิงที่ชื่อว่า จินเจอรอล (Gingerol) เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดผลลัพธ์เหล่านี้ โดยมีกลไกการทำงานหลักๆ ดังนี้

1. กระตุ้นการหลั่งน้ำย่อย

  • เพิ่มปริมาณน้ำย่อย: จินเจอรอลจะไปกระตุ้นให้ร่างกายผลิตน้ำย่อยต่างๆ เช่น กรดในกระเพาะอาหาร เอนไซม์ในลำไส้ เพิ่มขึ้น ทำให้อาหารถูกย่อยสลายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • ปรับปรุงคุณภาพน้ำย่อย: นอกจากจะเพิ่มปริมาณแล้ว จินเจอรอลยังช่วยปรับปรุงคุณภาพของน้ำย่อย ทำให้น้ำย่อยทำงานได้ดียิ่งขึ้น

2. ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ

  • ลดการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ: ขิงมีฤทธิ์ในการผ่อนคลายกล้ามเนื้อเรียบในระบบทางเดินอาหาร ช่วยลดอาการปวดเกร็งและการหดเกร็งของลำไส้ ทำให้การเคลื่อนไหวของอาหารเป็นไปอย่างราบรื่น
  • บรรเทาอาการท้องอืด: การผ่อนคลายกล้ามเนื้อช่วยลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และแก๊สในกระเพาะอาหาร

3. ต้านอนุมูลอิสระ

  • ปกป้องเซลล์: สารต้านอนุมูลอิสระในขิงจะเข้าไปจับกับอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของการทำลายเซลล์ ทำให้เซลล์ในระบบทางเดินอาหารได้รับการปกป้อง
  • ลดการอักเสบ: การอักเสบเรื้อรังในลำไส้เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานผิดปกติ สารต้านอนุมูลอิสระในขิงจะช่วยลดการอักเสบนี้ได้

สรุปง่ายๆก็คือ กลไกการทำงานของขิงในการช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหารนั้นค่อนข้างซับซ้อน แต่โดยรวมแล้ว ขิงจะเข้าไปทำงานในระดับเซลล์ ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหารหลายส่วน ทั้งการผลิตน้ำย่อย การเคลื่อนไหวของลำไส้ และการป้องกันการอักเสบ ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เพราะฉะนั้น การดื่มน้ำขิงหลังมื้ออาหาร จึงช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้นทำให้ร่างกายแข็งแรง สุขภาพดี

ลองนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันกันนะครับ

ดื่มด่ำกับความหอมและรสชาติอันล้ำลึกของขิงแท้ๆ ให้ความหอม อร่อย กลมกล่อม อย่างเป็นธรรมชาติ เปิดประสบการณ์การดื่มน้ำขิงที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่าของขิงแท้คุณภาพเยี่ยมที่ผ่านคัดสรรอย่างพิถีพิถันในทุกๆ ขั้นตอน มอบความรู้สึกความสดชื่นที่มาพร้อมกับรสชาติเข้มข้นและความหอมที่เป็นเอกลักษณ์ รสสัมผัสอันพิเศษที่ไม่สามารถหาได้จากที่อื่นใด

ดื่มความสุขสดชื่น ดื่มน้ำขิง ดื่มจินเจน

สำหรับผลิตภัณฑ์จินเจน สามารถเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ shop.gingen.com

 

ทำไมหน้าฝนต้องคู่กับน้ำขิงอุ่นๆ

ทำไมหน้าฝนต้องคู่กับน้ำขิงอุ่นๆ

เมื่อสายฝนโปรยปรายทั่วฟ้า อากาศเย็นสบายก็มาเยือน แต่ก็มาพร้อมกับความชื้นและอุณหภูมิที่ลดลง ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพของเราได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาการเจ็บป่วยจากหวัด ไข้หวัดใหญ่ หรือโรคทางเดินหายใจอื่นๆ มักจะระบาดในช่วงฤดูฝนนี้ หนึ่งในวิธีดูแลสุขภาพที่ดีที่สุดในช่วงเวลานี้คือการดื่มน้ำขิงอุ่นๆ ซึ่งเป็นเครื่องดื่มธรรมชาติที่มีสรรพคุณมากมาย

ช่วยให้ร่างกายอบอุ่นและแข็งแรง

 

สาเหตุที่เป็นหวัดในหน้าฝน:

แน่นอนค่ะว่าความชื้นสูงและอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงในช่วงหน้าฝนเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้เราเป็นหวัดได้ง่ายขึ้น

แต่ยังมีอีกหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้องกัน มาเจาะลึกกันเลยค่ะว่าทำไมหน้าฝนเราถึงป่วยง่ายกว่าปกติ

ปัจจัยที่ทำให้เป็นหวัดง่ายในหน้าฝน

  • ความชื้นสูง: อากาศชื้นในช่วงหน้าฝนเป็นสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของเชื้อโรค เช่น ไรฝุ่น รา และแบคทีเรีย ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคภูมิแพ้และการติดเชื้อทางเดินหายใจ
  • อุณหภูมิเปลี่ยนแปลง: อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงบ่อยและรวดเร็ว ทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ทัน เกิดภาวะภูมิคุ้มกันลดลง และเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย
  • เชื้อโรคแพร่กระจายง่าย: เมื่อฝนตก ลมจะพัดพาเชื้อโรคต่างๆ ในอากาศ เช่น ไวรัสหวัด ไวรัสไข้หวัดใหญ่ มาปะทะกับร่างกายของเราได้ง่ายขึ้น
  • การสัมผัสกับวัตถุที่ปนเปื้อน: ในช่วงหน้าฝน เราอาจสัมผัสกับวัตถุต่างๆ ที่เปียกชื้นและมีเชื้อโรคปนเปื้อน เช่น ราวบันได ลูกบิดประตู เมื่อนำมือมาสัมผัสใบหน้า จึงมีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย
  • การพักผ่อนไม่เพียงพอ: ในช่วงหน้าฝน หลายคนอาจรู้สึกง่วงนอนและอ่อนล้า ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ไม่เต็มที่
  • ภาวะขาดวิตามิน: การรับประทานอาหารไม่ครบหมู่ หรือการดูดซึมวิตามินไม่ดีพอ ทำให้ร่างกายอ่อนแอและต้านทานโรคได้น้อยลง

วิธีดูแลสุขภาพในช่วงหน้าฝน

  • รักษาความสะอาด: ล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่และน้ำสะอาด โดยเฉพาะหลังจากสัมผัสกับวัตถุหรือพื้นผิวที่อาจปนเปื้อน
  • หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่อับชื้น: เปิดหน้าต่างบ่อยๆ เพื่อระบายอากาศ และทำความสะอาดบ้านให้สะอาดอยู่เสมอ
  • สวมใส่เสื้อผ้าที่อบอุ่น: ป้องกันไม่ให้ร่างกายสัมผัสกับอากาศเย็นจนเกินไป
  • พักผ่อนให้เพียงพอ: การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและสามารถต่อสู้กับโรคภัยได้ดีขึ้น
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์: เลือกทานอาหารที่มีวิตามินและแร่ธาตุครบถ้วน เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: การออกกำลังกายช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้น
  • ดื่มน้ำมากๆ: การดื่มน้ำช่วยให้ร่างกายชุ่มชื้นและขับของเสียออกจากร่างกาย
  • ดื่มน้ำขิงอุ่นๆ: ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และบรรเทาอาการเจ็บคอ
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ป่วย: หากมีคนในครอบครัวหรือเพื่อนร่วมงานป่วย ควรหลีกเลี่ยงการใกล้ชิด

ประโยชน์ของน้ำขิง(โดยเฉพาะในหน้าฝน):

น้ำขิง นอกจากจะเป็นเครื่องดื่มที่ให้ความอบอุ่นในช่วงหน้าฝนแล้วยังมีสรรพคุณทางยาที่ช่วยดูแลสุขภาพได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ร่างกายอ่อนแอและเสี่ยงต่อการติดเชื้อต่างๆ มาดูกันว่าน้ำขิงมีประโยชน์อะไรบ้างนอกเหนือจากที่กล่าวมา

  • เสริมภูมิคุ้มกัน:ช่วยป้องกันไข้หวัดและปัญหาระบบทางเดินหายใจ
  • บรรเทาอาการ:ไอ เจ็บคอ น้ำมูกไหล คลื่นไส้ มีเสมหะ
  • น้ำขิงอุ่นๆ ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น: เหมาะสำหรับช่วงอากาศเย็นชื้นในหน้าฝน
  • ขิงมีสารต้านอนุมูลอิสระ: ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรง
  • ขิงมีฤทธิ์ในการลดการอักเสบ: ช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอและอาการระคายเคืองในลำคอ

ประโยชน์อื่นๆ ของน้ำขิง

  • ลดการอักเสบ: สารในขิงช่วยลดการอักเสบในร่างกาย ช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และอาการปวดข้อ
  • ช่วยระบบย่อยอาหาร: ขิงช่วยกระตุ้นการหลั่งน้ำย่อย ทำให้อาหารย่อยง่ายขึ้น ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ
  • บรรเทาอาการปวดประจำเดือน: ขิงมีฤทธิ์ในการลดอาการปวดเกร็งของกล้ามเนื้อมดลูก ช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือน
  • ช่วยลดความเครียด: กลิ่นหอมของขิงช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย ลดความเครียด และช่วยให้นอนหลับสบาย
  • มีสารต้านอนุมูลอิสระ: ช่วยป้องกันเซลล์จากความเสียหาย และชะลอความเสื่อมของร่างกาย
  • ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด: มีงานวิจัยบางชิ้นชี้ให้เห็นว่าขิงอาจช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้

การบริโภคน้ำขิง:

ขิงสด 5 กรัม มาบดหรือต้มกับน้ำสะอาด ดื่มหลังอาหาร 3 มื้อต่อวัน

หรือง่ายกว่านั้นเพียงฉีกซองขิงผงจินเจน (ขิง100% ไม่มีน้ำตาล)เติมน้ำร้อน คนให้ละลาย แล้วจิบน้ำขิงอุ่น ๆสัมผัสกับความหอม อร่อย กลมกล่อม ได้เลย

 

วิธีดื่มน้ำขิงให้ได้ประโยชน์สูงสุด

  • ดื่มขณะอุ่น: การดื่มน้ำขิงขณะอุ่นจะช่วยให้ร่างกายอบอุ่น และช่วยให้สรรพคุณของขิงออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น
  • ดื่มเป็นประจำ: การดื่มน้ำขิงเป็นประจำทุกวันจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและป้องกันโรคได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะหลังมื้ออาหาร
  • ปรับปริมาณขิงให้เหมาะสม: ปริมาณขิงที่ใช้ในการทำน้ำขิงขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคล หากไม่เคยดื่มน้ำขิงมาก่อน ควรเริ่มจากปริมาณน้อยๆ ก่อน
  • ผสมกับเครื่องดื่มอื่นๆ: นอกจากจะดื่มน้ำขิงเปล่าๆ แล้ว ยังสามารถนำขิงไปผสมกับเครื่องดื่มอื่นๆ ได้ เช่น น้ำผึ้ง หรือน้ำมะนาว

สัมผัสความบริสุทธิ์ของคุณค่าขิงแท้จากธรรมชาติ ดื่มด่ำกับความหอมและรสชาติอันล้ำลึกของขิงแท้ๆ ให้ความหอม อร่อย กลมกล่อม อย่างเป็นธรรมชาติ เปิดประสบการณ์การดื่มน้ำขิงที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่าของขิงแท้คุณภาพเยี่ยมที่ผ่านคัดสรรอย่างพิถีพิถันในทุกๆ ขั้นตอน มอบความรู้สึกความสดชื่นที่มาพร้อมกับรสชาติเข้มข้นและความหอมที่เป็นเอกลักษณ์ รสสัมผัสอันพิเศษที่ไม่สามารถหาได้จากที่อื่นใด

เติมเต็มช่วงเวลาแห่งความผ่อนคลายด้วยจินเจน ขิง 100% ไม่มีน้ำตาล ที่ไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณสดชื่น แต่ยังดีต่อสุขภาพในทุก ๆ วันแบบไม่ต้องกังวล เหมาะสำหรับดื่มในทุกช่วงเวลา ไม่ว่าจะเช้า บ่าย เย็น หรือก่อนนอน ดื่มหลังมื้ออาหารเพื่อช่วยขับลม เสริมการย่อย และลดไขมัน ดื่มก่อนนอน เพื่อช่วยให้ผ่อนคลายหลับสบาย และเพิ่มความสะดวกสบายเพราะสามารถใช้แทนขิงสดเพื่อปรุงอาหารให้อร่อยยิ่งขี้น

 

หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์ในการดูแลสุขภาพของคุณนะคะ

ดื่มความสุขสดชื่น ดื่มน้ำขิง ดื่มจินเจน

สำหรับผลิตภัณฑ์จินเจน สามารถเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ shop.gingen.com

5 สาเหตุที่ทำให้ท้องอืด

รู้หรือไม่! เวลาที่เราเกิดอาการท้องอืดนั้นอาจจะเกิดมาได้จากสาเหตุต่างๆได้ ซึ่งหลักๆก็จะเป็น 5 สาเหตุนี้ด้วยกัน คือ

.

1. เกิดจากการรับประทานอาหาร เช่น ถ้าเรารับประทานอาหารที่มีไขมันสูง อาจจะทำให้ย่อยอาหารได้ช้าลงและเกิดอาการท้องอืดได้

.

2. การใช้ชีวิตประจำวัน ถ้าไม่ค่อยได้ขยับร่างกาย ก็จะทำให้ย่อยอาหารได้ช้าเป็นสาเหตุของอาหารท้องอืดเช่นกัน

.

3. อายุ เมื่อเข้าสู่ช่วงสูงวัยระบบย่อยอาหารจะทำงานช้าลง เราจึงจะเห็นว่าผู้สูงอายุมักจะมีอาการท้องอืดได้ง่ายและบ่อยกว่าคนอายุ

.

4. ติดเชื่อแบคทีเรียที่ชื่อ เอช ไพโลไร ทำให้เสียดท้อง และมีอาการท้องอืดได้

.

5. ท้องผูก ทำให้เกิดอาหารท้องอืดตามมาได้เนื่องจากความดันในทางเดินอาหารสูงขึ้น

.

#สาเหตุของอาการท้องอืด

#การดื่มน้ำขิงบรรเทาอาการท้องอืดได้

#ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

#อบอุ่นกาย #อบอุ่นใจ #อบอุ่นด้วยจินเจน

💔รู้หรือไม่ว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่รู้ว่าตัวเองป่วยเป็นโรคหัวใจ‼

สาเหตุหลักเป็นเพราะหลายๆคนไม่ได้ใส่ใจในเรื่องของการดูแลสุขภาพ อีกทั้งมักเกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต ทั้งการสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ การรับประทานอาหารรสจัด มีคอเลสเตอรอลสูง รวมทั้งความเครียด นอกจากนี้ โรคประจำตัวบางอย่างก็ส่งผลต่อโรคหัวใจด้วยเช่นกัน

ปัจจัยที่ทำให้หัวใจไม่แข็งแรง ส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตและเมื่อมีอายุมากขึ้น ก็จะมีการเสื่อมสภาพของระบบอวัยวะต่างๆ รวมถึงหัวใจและหลอดเลือด ส่งผลให้เกิดโรคหัวใจตามมา

หลายคนอาจมองข้ามสัญญาณเตือนจากโรคหัวใจเพราะบางครั้งอาจคิดว่าเป็นเพียงแค่อาการทั่วไป แต่จริง ๆ แล้วอาจเป็นอาการจากโรคหัวใจที่แสดงตัวมากขึ้น โดยสามารถสังเกตได้จากอาการเหล่านี้

📌 เหนื่อยง่ายกว่าปกติ:

หลายครั้งที่เหนื่อยง่าย หอบหายใจลำบาก หลายคนอาจคิดว่าเป็นเพราะออกแรงมากเกินไปหรืออยู่ระหว่างการออกกำลังกายโดยจะเป็นอาการที่เกิดขึ้นเพียงชั่วขณะแล้วหายไปเองแต่บางครั้งอาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นในขณะนอนหลับด้วย

📌 เจ็บแน่นหน้าอก:

ไม่ว่าจะเป็นอาการเจ็บหน้าอกด้านซ้ายหรือทั้งสองด้าน เวลานอนราบอาจจะรู้สึกเหนื่อยหรือมีอาการอึดอัดบริเวณหน้าอก

📌 เป็นลมหมดสติโดยไม่มีสาเหตุ

📌 ขาหรือเท้าบวมโดยไม่มีสาเหตุ:

นอกจากอาการขาหรือเท้าบวมแล้ว ยังรวมไปถึงปลายมือ ปลายเท้า และริมฝีปาก มีลักษณะเขียวคล้ำซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจลดลง เพราะเลือดไหลขึ้นจากขาไปยังหัวใจได้ไม่สะดวก จนทำให้เลือดคั่งที่ขา

สำหรับความรุนแรงของโรคหัวใจและหลอดเลือดจะสอดคล้องกับอายุ ความรุนแรงของโรคหัวใจที่เป็นและโรคร่วมที่มีอยู่ ในบางรายอาจนำไปสู่การเสียชีวิตอย่างกระทันหัน หรือป่วยหนักถึงขั้นวิกฤตได้

การดูแลสุขภาพให้ห่างไกลจากโรคหัวใจและหลอดเลือด จำเป็นต้องปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต ผ่อนคลายความเครียด รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์

✔ การรับประทานอาหาร:

เน้นอาหารที่มีประโยชน์ต่อหัวใจและร่างกาย ลดอาหารไขมันสูงรสจัด และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีส่วนประกอบของกรดไขมันที่อิ่มตัวเช่น จากไขมันปาล์ม พร้อมกับรับประทานผักและผลไม้เป็นประจำ ธัญพืชไม่ขัดสี โปรตีนไขมันต่ำ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อไม่ติดมันหรือเนื้อปลา

✔ ลดการสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์

✔ ควบคุมน้ำหนักและโรคประจำตัว:

ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานเพราะการที่น้ำหนักตัวเกินอาจเป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้ หรือเกิดโรคเรื้อรังจนทำให้เกิดโรคหัวใจอีกทั้งยังจำเป็นต้องควบคุมความดันโลหิตสูงให้ดี เพื่อลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ

✔ ผ่อนคลายความเครียด:

ความเครียดส่งผลต่อสุขภาพได้อย่างชัดเจน เช่น อาจทำให้ความดันโลหิตสูงระดับฮอร์โมนความเครียดเพิ่มขึ้นจนเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

✔ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ:

การออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที จะช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมไปถึงโรคอื่น ๆเนื่องจากการออกกำลังกายจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ทำให้หัวใจแข็งแรง ทำงานได้ดี

หากใครกังวลหรือคิดว่ามีความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด สามารถตรวจคัดกรองด้วยการตรวจเอกซเรย์ทรวงอกและคลื่นไฟฟ้าหัวใจ การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจขณะออกกำลังกาย ตลอดจนการตรวจหาแคลเซียมหินปูนที่ผนังหลอดเลือดหัวใจและตรวจหลอดเลือดหัวใจตีบด้วยเทคนิคการทำ CT Scan เป็นต้น

ขอบคุณข้อมูลจาก: โรงพยาบาลเวชธานี

#โรคหลอดเลือดหัวใจ

#จินเจน #ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

แก้โรคฮิต!! “ออฟฟิศซินโดรม” ปวด “คอ บ่า ไหล่”

แก้โรคฮิต!! “ออฟฟิศซินโดรม” ปวด “คอ บ่า ไหล่”
หรือจะเป็นผู้สูงอายุที่มีอาการนี้อยู่ ลองทำ 3 ท่านี้ รับรองดีขึ้นแน่นอนค่ะ ^^

ท่าที่ 1 กดคอก้มลงค้างไว้ แล้วเงยหน้า

ท่าที่ 2 กดศีรษะมาด้านข้าง

ท่าที่ 3 หัหน้า 45 องศา กดศีรษะลง


#ออฟฟิศซินโดรม
#ป้าเจน #จินเจน
#ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

สุขภาพดีรับปีใหม่

ในช่วงปีใหม่แบบนี้ แอดมินและป้าเจนขอถือโอกาสแบ่งปันข้อแนะนำจาก สสส. และอาจารย์ สง่า ดามาพงษ์” ที่ปรึกษากรมอนามัย และผู้ทรงคุณวุฒิด้านโภชนาการ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่ดีมากๆและทำได้จริง เพื่อที่จะช่วยปรับเปลี่ยนนิสัยการกินของคุณ ให้มีสุขภาพที่ดีกว่าในปีที่ผ่านมา ขออนุญาตชวนไปดูแต่ละข้อพร้อมๆกันเลยค่ะ ^^

ที่มา: สสส.

เริ่มต้นจากลองมองย้อนกลับไปก่อน 12 เดือนที่ผ่านมาว่า สุขภาพของตัวเองเป็นอย่างไร “น้ำหนัก” เพิ่มขึ้นหรือไม่ ? ผอมลงหรือไม่ ? “ไปหาหมอกี่ครั้ง” เป็นหวัดกี่หน ? “ปวดท้อง” “ท้องเสีย” กี่ครั้ง ? เจ็บป่วยบ่อยหรือเปล่า ซื้อยากินหรือไม่ ? เปลืองเงินกับค่ารักษาพยาบาลไปมากน้อยแค่ไหนอย่างไร ขอให้สำรวจสุขภาพของตัวเองก่อน เป็นอันดับแรก

ต่อมา ให้ลองสำรวจกลับไปอีกว่า ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา เราได้ “ออกกำลังกาย” เป็นประจำหรือไม่ ? ออกๆ หยุดๆ หรือไม่ได้ออกเลย เอาแต่นั่ง ๆ นอน ๆ อย่างเดียว

และในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา เรา “กินตามใจปาก” หรือไม่ ? กินถูกหลักโภชนาการ “ครบ 5 หมู่” หรือไม่ กินรสชาติ “หวานจัด มันจัด เค็มจัด” หรือไม่ เรา “กินผักผลไม้” เพียงพอหรือไม่ ?

ลองสำรวจเพิ่มว่า เราเป็นคน “ติดหวาน” หรือไม่ ? เรากินกาแฟเย็นมากเกินไปหรือเปล่า กินน้ำอัดลม กินขนมกรุบกรอบบ่อยหรือไม่ ?

เรื่องต่อมา ขอให้สำรวจเรื่อง “อารมณ์” ว่า ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา เรามีอะไรที่มากระทบจิตใจในเชิงลบ มากน้อยแค่ไหนอย่างไร ทำให้หงุดหงิด ทำให้กังวล ทำให้โกรธ ทำให้ไม่สบายใจ มีหลายเรื่องหรือไม่ ? แล้วเราสลัด “ความเครียด” ออกได้เร็วหรือไม่ หรือว่าเก็บมันไว้ในใจ เราสามารถขจัดออกได้กี่เรื่อง และไม่ได้กี่เรื่อง ?

ในรอบปีที่ผ่านมา “สูบบุหรี่” มากน้อยแค่ไหนอย่างไร ? “ดื่มสุรา” จนติดเป็นนิสัยเลยใช่หรือไม่ และได้ “พักผ่อน” เพียงพอรึเปล่า นอนถึง 6 ชั่วโมงหรือไม่ ? ทั้งหมดนี้เราต้องกลับไปดูภาพรวมตัวเองในปีที่ผ่านมา เพื่อจะนำข้อมูลมาวิเคราะห์ และวางแผนสู่การมีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน

ถ้าสำรวจแล้วพบว่า รอบปีที่ผ่านมาพฤติกรรม “แย่มาก” ไม่เคยออกกำลังกาย กินสะเปะสะปะ คุณจงเริ่มเอาวันที่ 31 ธันวาคม หรือวันที่ 1 มกราคม เป็นวันเริ่มต้นแห่งการเปลี่ยนชีวิตใหม่ ถ้าเราไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองวันนี้ จะเกิดอะไรขึ้นในอีก 12 เดือนข้างหน้า สุขภาพจะย่ำแย่ลงตามอายุ ที่เพิ่มมากขึ้นใช่หรือไม่

ดังนั้น ขอให้เริ่มจากการระมัดระวังเรื่องอาหารการกิน เริ่มในช่วงเทศกาลปีใหม่ได้ยิ่งดี เพื่อปูพื้นฐานไปสู่พฤติกรรมการกินที่ถูกต้อง ไปตลอดทั้ง 12 เดือนข้างหน้า

ช่วงปีใหม่เป็นเทศกาลแห่งการกินเลี้ยง กินเค้กปีใหม่ อาหารส่วนใหญ่มักจะมีความมันจัด หวานจัดและเค็มจัด มีโปรตีนสูง ผักน้อย ดังนั้นถ้าเราจะฝึกพฤติกรรมการกิน ก็ควรจะระมัดระวัง “อาหารที่มีแคลอรี่สูง” เพราะอาจทำให้อ้วนแบบไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นอาหารคาว หรืออาหารหวาน ดังนั้น ก่อนทานอาหารควรคำนึงถึงปริมาณแคลอรี่ให้มาก ๆ

สำหรับเทคนิคการเลือกกินอาหารในงานเลี้ยง ประกอบไปด้วย 1. “สารอาหารจะต้องครบ 5 หมู่” จะไปกินเฉพาะเนื้อสัตว์อย่างเดียวไม่ได้ อาหารทุกมื้อในช่วงงานเลี้ยงต้องครบ 5 หมู่ 2. “รสชาติของอาหาร จะต้องไม่หวานจัด มันจัด เค็มจัด” ซึ่งบอกไม่ได้ว่าเป็นเมนูอะไร คุณต้องไปตัดสินใจกันเอาเอง

3. “หลีกเลี่ยงอาหารประเภททอด ๆ ผัด ๆ” 4. “เลือกกินอาหารประเภทต้ม, แกง, อบ, นึ่ง, ย่างและปิ้ง” แต่ต้องระวังอย่าให้ไหม้เกรียม 5. “ระวังอาหารหวาน” ไม่ได้ห้ามกินแต่อย่ามากจนเกินไป กินแต่พอดี เค้กกินต่อไปแต่ชิ้นอาจจะบางลง

สิ่งที่ขาดไม่ได้เลย ในการปูพื้นฐานเรื่องการกินให้ดีต่อสุขภาพ ในช่วงงานเลี้ยงปีใหม่ คือ “เริ่มต้นการกินผักให้มากขึ้น” โดยอาจจะมาในรูปของผักสลัด ผักที่อยู่ในแกง หรือผักที่อยู่ในน้ำพริก อยู่ในส้มตำ หรืออยู่ในยำผัก หรือเมนูอะไรก็แล้วแต่ “อาหารปีใหม่ต้องมีผักให้ได้” และ “ฝึกตัวเองกินผลไม้ หลังจากการกินข้าว” ไม่ใช่กินข้าวเสร็จแล้วไปหาขนมหวานกินต่อ ดังนั้น ควรมีผลไม้วางอยู่บนโต๊ะงานเลี้ยงด้วยเสมอ

ของขวัญที่เราควรมอบให้กับตัวเอง ไม่ใช่แก้วแหวนเงินทอง เสื้อผ้าหรือของขวัญที่มีราคาแพง แต่เป็นการเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ ตามหลัก “3 อ. 2 ส. และ 1 พ.” คือ อาหาร, อารมณ์, ออกกำลังกาย, ไม่ดื่มสุรา, ไม่สูบบุหรี่ และพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพให้ดีขึ้น เป็นของขวัญแห่งชีวิตที่หาซื้อไม่ได้ด้วยเงินตรา

ถ้าคุณอยากจะเปลี่ยนชีวิตใหม่ คุณต้องเปลี่ยน Mindset หรือ ทัศนคติมุมมองใหม่ เพราะถ้าไม่เปลี่ยน Mindset เสียก่อนอย่างอื่นคุณก็จะเปลี่ยนไม่ได้ ซึ่งการที่คุณจะเปลี่ยน Mindset ได้คุณต้องมีแรงจูงใจ และเป็นแรงจูงใจที่มีพลังมากพอ

แรงจูงใจที่ว่านี้ อาจจะมาจากการสำรวจสุขภาพตัวเอง ในปีที่ผ่านมา เช่น น้ำหนักตัวที่มากขึ้น ๆ ถ้าปล่อยเอาไว้ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง พอคุณอ้วนมากเข้า โรคเบาหวาน, โรคความดัน, โรคหัวใจ, โรคหลอดเลือดสมอง ก็ตามมา แล้วคุณจะทำอย่างไร สุขภาพคุณจะเลวร้ายมากยิ่งขึ้น

ถ้าอยากจะเปลี่ยนตัวเองเพื่อสุขภาพ จริงๆ ขอให้ทำเพื่อคนอื่นดีกว่า เช่น ถ้าคุณมีแม่ ให้เปลี่ยนตัวเองเพื่อแม่ เพราะลองคิดดูว่า ถ้าคุณอายุ 30 ปี แม่อายุ 70 ปี แต่คุณป่วยเป็นอัมพฤกษ์ ปากเบี้ยว กลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง แม่คุณต้องมาคอยดูแล คุณจะทำอย่างไร หรือถ้าคุณแต่งงานแล้ว มีลูกตัวเล็ก ๆ คุณก็ลองตั้งเป้าหมายเปลี่ยนตัวเองเพื่อลูก จะได้อยู่เลี้ยงดูเขาเติบโต

“การเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพถ้าไม่มีแรงจูงใจมากพอ มันจะเปลี่ยนไม่ได้ ที่สำคัญอย่าตั้งเป้าหมายเปลี่ยนเพื่อตัวเอง เช่น ลดน้ำหนักเพื่อตัวเองจะได้หุ่นดี การตั้งเป้าหมายเช่นนี้ มักจะล้มเลิกกลางคัน เพราะแรงจูงใจไม่มากพอ ดังนั้นขอให้ลองทบทวนหาข้อบกพร่องในปีที่ผ่านมา แล้วนำมาปรับปรุงแก้ไข โดยใช้วันปีใหม่เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง”

7 คำถามคาใจในเทศกาลกินเจ

เริ่มเทศกาลกินเจของปีนี้แล้ว…วันนี้ “หมอจิน” และ “ป้าเจน” เลยได้รวบรวมคำถามบางคำถามที่น่าสนใจเกี่ยวกับเทศกาลกินเจนี้มาฝากทุกๆคนให้เข้าใจง่ายๆอีกครั้งค่ะ ตามไปดูกันเลย ^^

 

 

 

 

 

 

#เทศกาลกินเจ
#คำถามคาใจเทศกาลกินเจ

#หมอจิน #ป้าเจน

#ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

#จินเจนดื่มดีดื่มได้ทุกเทศกาล ^^

ในแต่ละวันของคุณ

ในแต่ละวันของคุณ ให้จินเจนคอยดูแลนะคะ #ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน❤️♨️

ขิงเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อน มีสารอาหารที่ดีมากมายสำหรับร่างกาย เช่น แมกนีเซียม โพแตสเซียม ทองแดง และวิตามินบี 6 นอกจากนี้ยังมีสารจินเจอรอลซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระทำให้ร่างการแข็งแรงมีสุขภาพที่ดี และ ช่วยบรรเทาอาการท้องอืด ขับลม แน่นจุกเสียด อาการคลื่นไส้อาเจียนอีกด้วย การดื่มน้ำขิงจะช่วยขับเสมหะได้อีกด้วย

 

ดื่มน้ำขิงตอนเช้า เป็นประจำในช่วงเช้าเวลาประมาณ ตี 5 – 6 โมงเช้าเป็นช่วงที่เหมาะแก่การดื่ม เพราะจะทำให้เราขับถ่ายได้ดี แล้วก็เตรียมร่างกายให้พร้อมในการเผาผลาญพลังงาน

 

ดื่มน้ำขิงหลังอาหาร ขิงมีส่วนช่วยเพิ่มการทำงานของระบบเผาผลาญในร่างกาย ทำให้ร่างกายสามารถเผาผลาญไขมันได้มากกว่าปกติ จึงมีส่วนช่วยลดน้ำหนักได้

ขิงยังมีสารคล้ายกับเอนไซม์ใช้ช่วยย่อยอาหาร โดยเฉพาะเวลาที่กระเพาะอาหารต้องทำงานหนักจากอาหารมื้อใหญ่ หรือมื้อที่กินเนื้อสัตว์มากๆ การกินขิงร่วมกับมื้ออาหารนั้นๆ หรือการดื่มน้ำขิงอุ่นๆ หลังมื้ออาหาร จึงช่วยลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อได้ดี

 

ดื่มน้ำขิงระหว่างวัน หากใครรู้สึกอ่อนล้าจากการทำงานหนัก คลายเครียดด้วยการดื่มน้ำขิงอุ่นสักแก้ว ขิงมีรสเผ็ดร้อยช่วยให้กระตุ้นให้ร่างกายตื่นด้วย คล้ายๆ เราดื่มคาเฟอีนในกาแฟการจิบน้ำขิงช่วยเพิ่มพลังให้ร่างกาย

นอกจากนี้ ขิงยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ (anti – oxidant) ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกายได้อีกด้วย

 

ดื่มน้ำขิงก่อนนอน ดื่มน้ำขิงก่อนนอนนั้นช่วยให้เรารู้สึกผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น เพราะน้ำมันหอมระเหยในขิงจะทำให้เรารู้สึกสงบหลับง่ายและสบายขึ้น นอกจากนี้ น้ำขิงจะทำให้ร่างกายเกิดความอบอุ่นและนอนหลับได้ง่ายกว่าเดิมอีกด้วย

EATFROMHOME

#EatFromHome น้ำหนักขึ้นแล้วขึ้นอีก ได้เวลาลดแล้วจ้าาาา

การอดอาหารเป็นอะไรที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะหากเรายิ่งอดอาหารมากเท่าไหร่ก็จะมีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด ที่สำคัญจะทำให้หิวมากขึ้น และก็จะกินมากกว่าปกติด้วยนะคะ

อาหารเช้านับเป็นมื้อที่สำคัญของวัน เพราะร่างกายเราไม่ได้รับอาหารมาตลอดทั้งคืน ดังนั้น หากใครที่ไม่ได้กินอาหารเช้า อาจจะหิวหนักในมื้อถัดไป และก็รับประทานมากกว่าเดิมอีก


 

เพราะอย่างที่รู้กันว่าอาหารทอดและอาหารที่ติดมันมาก ๆ อาทิ กุนเชียง หนังไก่ หมูสามชั้นทอดกรอบ หรือกากหมู เป็นต้น เป็นสาเหตุให้เกิดความอ้วนได้

ต่างกันกับการรับประทานผัก และผลไม้ ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายมาก และยังมีใยอาหารสูงช่วยในเรื่องขับถ่ายได้ดี แต่การกินผลไม้ก็ควรเลือกผลไม้ที่ไม่มีแป้งหรือน้ำตาลเยอะเช่นกัน ที่สำคัญควรกินสด ไม่ควรกินเป็นแบบน้ำผลไม้ปั่นเพราะส่วนมากก็จะมีการเติมน้ำตาลเพื่อเพิ่มความหวานเข้าไปอีก แล้วก็ไม่ได้ประโยชน์จากใยอาหารเท่าที่ควร

ในหนึ่งวัน เราควรดื่มน้ำสะอาดให้ได้ 8 – 12 แก้วต่อวัน เนื่องจากน้ำจะเป็นตัวเร่งระบบการเผาผลาญในร่างกาย จึงสามารถช่วยขจัดไขมันส่วนเกินได้อีกด้วย ที่สำคัญหากใครที่ต้องการควบคุมน้ำหนักอย่างจริงจัง สามารถดื่มน้ำ 1 แก้วก่อนมื้ออาหาร ก็จะช่วยให้เราอิ่มเร็วขึ้น

 

การดื่มชาหรือกาแฟมากกว่า 2 แก้วต่อวัน จะส่งให้เกิดความอ้วนได้ ซึ่งยังไม่นับรวมผู้ที่ชอบดื่มกาแฟแบบใส่ครีมเทียมซึ่งเป็นการเพิ่มแคลอรี่ในร่างกายเข้าไปอีก

 

น้ำตาลจากน้ำอัดลมก็เป็นสาเหตุของความอ้วนของใครหลายๆคน การงดการดื่มน้ำอัดลมก็เป็นการลดน้ำหนักได้เป็นอย่างดีอีกวิธีหนึ่งโดยเฉพาะสำหรับคนที่ชอบดื่มเป็นประจำ

 

 

หลายคนเวลาไปซื้ออาหารก็มักจะไม่ได้คำนึงถึงความพอเพียง เน้นเยอะเข้าว่า สุดท้ายอาหารเต็มบ้าน ก็อดไม่ได้ที่ต้องกิน แถมบางคนยังกินไปดูทีวีไปอีก กินเพลินๆแบบนี้ก็คือหนทางแห่งความอ้วนดีๆนี่เอง

 

 

การออกกำลังกายเป็นวิธีที่ช่วยรักษาน้ำหนักให้คงที่ได้ในระยะยาว ที่สำคัญ ยังช่วยเผาผลาญแคลอรี่ให้กลายเป็นพลังงานได้อีกด้วย ลองหาเวลาออกกำลังกายด้วยการเดินวันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 5 วัน เท่านี้ร่างกายก็จะไม่มีไขมันสะสมในร่างกายในปริมาณมาก ๆ แล้วค่ะ

 

#ป้าเจน #กินยังไงไม่ให้อ้วน

#จินเจน #ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

ที่มา: MomAndBaby, BangkokHospital

5 ท่าบริหารปอด

ทุกคนคะ! มา #บริหารปอด กันค่ะ

พยายามทำให้ได้ทุกวันเพื่อให้ปอดแข็งแรง พร้อมรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และพักผ่อนให้เพียงพอด้วยนะคะ

 

 

 

#ท่าบริการปอด

#ป้าเจน

#จินเจน #ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน