สรรพคุณของน้ำขิง
น้ำขิง เป็นเครื่องดื่มสมุนไพรที่ได้จากการนำเหง้าขิงมาต้มในน้ำ ซึ่งได้รับความนิยมทั้งในรูปแบบร้อนและเย็น ด้วยรสเผ็ดร้อนและกลิ่นหอมเฉพาะตัว น้ำขิงไม่เพียงให้ความสดชื่น แต่ยังมีชื่อเสียงในด้านการเป็นยาสมุนไพรที่มีสรรพคุณหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการบำรุงร่างกาย การบรรเทาอาการผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร หรือการใช้เป็นตัวช่วยในการรักษาโรคบางชนิดตามศาสตร์การแพทย์แผนไทยและแพทย์แผนปัจจุบัน
บทความนี้จะนำเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสรรพคุณของน้ำขิงในทุกด้าน ทั้งการปรับสมดุลและบำรุงร่างกาย การลดการอักเสบ การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด การลดน้ำหนัก การบรรเทาอาการคลื่นไส้ ปวดประจำเดือน ตลอดจนการส่งเสริมระบบไหลเวียนโลหิต นอกจากนี้ยังมีข้อมูลจากงานวิจัยที่น่าเชื่อถือ ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เพื่อยืนยันถึงประสิทธิผลของขิงอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ พร้อมคำแนะนำในการบริโภคน้ำขิงและข้อควรระวัง
ประโยชน์ของน้ำขิงต่อสุขภาพ
1) ส่งเสริมการย่อยอาหารและสุขภาพระบบทางเดินอาหาร
ขิงถือเป็นสมุนไพรที่ใช้เพื่อบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และช่วยขับลมได้อย่างมีประสิทธิภาพมาตั้งแต่อดีต ตามศาสตร์การแพทย์แผนไทย ขิงมีรสร้อน ช่วย “บำรุงธาตุ” ภายในร่างกาย และช่วยย่อยอาหาร (อ้างอิง: 1) นอกจากนี้งานวิจัยทางคลินิกพบว่าขิงกระตุ้นการเคลื่อนไหวของกระเพาะอาหารให้เคลื่อนผ่านได้เร็วขึ้น จึงลดอาการอาหารไม่ย่อยและลดการเกิดแก๊สในกระเพาะ อีกทั้งยังใช้บรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียนที่เกี่ยวข้องกับระบบย่อยอาหารได้อีกด้วย (อ้างอิง: 2)
การดื่มน้ำขิงหลังมื้ออาหารหรือเมื่อมีอาการแน่นท้องสามารถทำให้รู้สึกสบายท้องขึ้น เนื่องจากสารออกฤทธิ์ในขิง เช่น จินเจอรอล (Gingerol) และน้ำมันหอมระเหยในขิงมีส่วนช่วยลดแก๊สและบรรเทาอาการระคายเคืองในระบบทางเดินอาหาร
2) ช่วยในการควบคุมน้ำหนักและระบบเผาผลาญ
น้ำขิงได้รับความนิยมในฐานะตัวช่วยควบคุมน้ำหนัก เพราะขิงมีส่วนกระตุ้นการเผาผลาญพลังงานและลดความอยากอาหาร มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ให้กลุ่มอาสาสมัครผู้ชายดื่มน้ำขิงร้อนหลังมื้ออาหาร พบว่าผู้ดื่มน้ำขิงรู้สึกอิ่มนานขึ้นเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้ดื่ม (อ้างอิง: 3)
การวิเคราะห์อภิมาน (Meta-analysis) จากงานทดลองหลายฉบับ ยังสนับสนุนผลของขิงในด้านการลดน้ำหนัก โดยกลุ่มที่ได้รับขิง (ทั้งในรูปแบบผง ขิงสด หรือน้ำขิง) มีแนวโน้มลดไขมันและน้ำหนักตัวมากกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับขิงอย่างมีนัยสำคัญ (อ้างอิง: 4) อย่างไรก็ตาม ควรควบคุมอาหารและออกกำลังกายควบคู่กันเพื่อให้เห็นผลชัดเจนยิ่งขึ้น
3) ฤทธิ์ลดการอักเสบและบรรเทาอาการปวด
ขิงมีสารสำคัญที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ (Anti-inflammatory) สามารถยับยั้งการสร้างสารก่อการอักเสบ เช่น พรอสตาแกลนดิน และลิวโคทริอีน (อ้างอิง: 5) ซึ่งช่วยลดอาการอักเสบและอาการปวดได้ จากการศึกษาทางคลินิกพบว่าการรับประทานสารสกัดขิงเป็นประจำมีผลลดอาการปวดจากภาวะข้อเสื่อมและข้ออักเสบ รวมถึงปวดกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกายได้อย่างมีนัยสำคัญ (อ้างอิง: 6)
หลายคนจึงดื่มน้ำขิงเพื่อบรรเทาอาการปวดจากโรคข้ออักเสบ เช่น ข้อเข่าเสื่อมหรือผู้ที่มีอาการปวดหลังการใช้งานกล้ามเนื้อหนัก อย่างไรก็ดี สำหรับผู้ที่มีโรคข้ออักเสบรุนแรง ควรรับการรักษาทางการแพทย์ร่วมกับการใช้ขิงเพื่อให้เกิดผลดีที่สุด
4) ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
ขิงมีศักยภาพในการช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยงานวิจัยบางฉบับระบุว่าการรับประทานผงขิงหรือดื่มน้ำขิงเป็นประจำอาจช่วยลดระดับน้ำตาลขณะอดอาหารและเพิ่มความไวต่ออินซูลินในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 (อ้างอิง: 7)
ผลการศึกษาระบุว่ากลุ่มที่ได้รับขิงในขนาด 2 กรัมต่อวัน ต่อเนื่องนาน 8-12 สัปดาห์ มีแนวโน้มควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีกว่ากลุ่มควบคุม รวมถึงค่าระดับน้ำตาลสะสม (HbA1c) และระดับไขมันบางชนิดก็ดีขึ้นเช่นกัน (อ้างอิง: 8) ทั้งนี้ ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ขิงเสริมการรักษา โดยเฉพาะผู้ที่ต้องใช้ยาลดน้ำตาลในเลือดเป็นประจำ เพราะอาจมีความเสี่ยงน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) ได้
5) บรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียน
สรรพคุณที่โดดเด่นอย่างหนึ่งของขิง คือ การบรรเทาอาการคลื่นไส้และอาเจียน ไม่ว่าจะเกิดจากอาการเมารถเมาเรือ การตั้งครรภ์ หรืออาการหลังผ่าตัดและเคมีบำบัด การศึกษาทางคลินิกยืนยันว่าขิงมีประสิทธิภาพในการลดความรุนแรงของอาการคลื่นไส้อาเจียนในหลายสภาวะ (อ้างอิง: 9)
โดยเฉพาะในหญิงตั้งครรภ์ มีหลักฐานว่าการรับประทานผงขิงขนาด 1 กรัมต่อวันเป็นเวลาไม่เกิน 4 วัน สามารถลดอาการแพ้ท้องได้อย่างปลอดภัยเมื่อเทียบกับกลุ่มยาหลอก แต่ยังคงแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ในผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ เนื่องจากความไวต่อสารสมุนไพรอาจแตกต่างกัน
6) บรรเทาอาการปวดประจำเดือน
หลายงานวิจัยพบว่าขิงมีฤทธิ์บรรเทาอาการปวดประจำเดือน (Dysmenorrhea) ในสตรีได้ดี ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสารออกฤทธิ์ในขิงไปยับยั้งสารก่อการอักเสบที่ทำให้มดลูกบีบตัวอย่างรุนแรง (อ้างอิง: 10)
การวิเคราะห์อภิมานของการทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุมยังชี้ให้เห็นว่าผู้หญิงที่ได้รับผงขิงในช่วง 3-4 วันแรกของรอบเดือน มีระดับความปวดลดลงอย่างมีนัยสำคัญเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก อีกทั้งบางกรณีขิงยังให้ผลใกล้เคียงกับยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs โดยผลข้างเคียงน้อยกว่า (อ้างอิง: 11)
7) ส่งเสริมสุขภาพระบบไหลเวียนโลหิต
ด้วยคุณสมบัติรสร้อนของขิง การดื่มน้ำขิงจึงช่วยให้ร่างกายอบอุ่นและอาจกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตได้ดีขึ้น สารสำคัญในขิงมีคุณสมบัติช่วยขยายหลอดเลือดส่วนปลายและลดการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด ทำให้ลดความเสี่ยงการเกิดลิ่มเลือดที่อาจเป็นต้นเหตุของโรคหัวใจและหลอดเลือด (อ้างอิง: 12)
นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าขิงอาจช่วยลดระดับไขมันในเลือดบางชนิด เช่น คอเลสเตอรอลรวมและไตรกลีเซอไรด์ เมื่อรับประทานในขนาดที่เหมาะสม ไม่เกิน 2 กรัมต่อวัน อย่างไรก็ตาม หลักฐานในมนุษย์ยังจำกัด และบางการศึกษาได้ผลไม่ชัดเจน จึงควรใช้ควบคู่ไปกับการปรับพฤติกรรมสุขภาพด้านอื่นๆ
น้ำขิงในศาสตร์การแพทย์แผนไทย
ศาสตร์การแพทย์แผนไทยจัดขิงไว้ในกลุ่มสมุนไพรรสร้อน (ธาตุไฟ) มีสรรพคุณหลากหลายที่ถูกนำมาใช้ตั้งแต่สมัยโบราณ เช่น แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม แก้อาการจุกเสียด แน่นท้อง และยังช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้ อาเจียน (อ้างอิง: 13)
ในผู้หญิงหลังคลอด แพทย์แผนไทยบางส่วนแนะนำให้ดื่มน้ำขิงเพื่อขับน้ำคาวปลาและกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตหลังการคลอด โดยเชื่อว่าความร้อนของขิงจะช่วยปรับสมดุลธาตุภายในร่างกาย นอกจากนั้น ขิงยังเป็นส่วนประกอบในตำรับยาสำคัญของไทยหลายชนิด เช่น ยาประสะกานพลู ซึ่งมีสรรพคุณแก้ลมและอาการท้องเฟ้อ
น้ำขิงกับการแพทย์แผนปัจจุบัน
ปัจจุบันมีงานวิจัยมากมายจากวารสารวิชาการต่างประเทศ (เช่น PubMed, NCBI) และจากวารสารไทย (เช่น ThaiJO) ที่สนับสนุนประโยชน์ของขิงในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นฤทธิ์ต้านการอักเสบ การบรรเทาอาการปวด การลดระดับไขมันหรือน้ำตาลในเลือด รวมถึงการต้านอนุมูลอิสระ แพทย์แผนปัจจุบันบางส่วนจึงแนะนำให้ใช้ขิงเป็นทางเลือกเสริมหรือทางเลือกสนับสนุนร่วมกับการรักษาหลัก
ตัวอย่างเช่น ผู้ที่มีอาการแพ้ท้องหรือคลื่นไส้จากการผ่าตัด/เคมีบำบัด อาจใช้ขิงเพื่อช่วยบรรเทาอาการได้ หรือผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมบางรายอาจรับประทานสารสกัดขิงเพื่อลดการใช้ยาต้านการอักเสบกลุ่ม NSAIDs ซึ่งอาจมีผลข้างเคียงต่อกระเพาะอาหาร (อ้างอิง: 14) ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้ขิงเป็นส่วนหนึ่งของการรักษา เนื่องจากขิงอาจมีปฏิกิริยากับยาบางชนิด
สารสำคัญและกลไกการออกฤทธิ์ในขิง
ขิงอุดมไปด้วยสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพหลายชนิด ทั้งกลุ่มน้ำมันหอมระเหย (Volatile oils) และสารเผ็ดร้อนประเภทฟีนอล ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการออกฤทธิ์ เช่น
- Gingerol (จินเจอรอล): พบมากในขิงสด มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ และต้านเชื้อจุลชีพ
- Shogaol (โชกาออล): เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของ Gingerol เมื่อขิงแห้งหรือผ่านความร้อน มีฤทธิ์ลดอาการปวด ต้านการอักเสบ และอาจมีฤทธิ์ต้านมะเร็ง
- Zingiberene (ซิงจิเบอรีน): สารหอมระเหยให้กลิ่นขิงเฉพาะตัว ช่วยขับลมและผ่อนคลายกล้ามเนื้อเรียบในทางเดินอาหาร
- Paradol, Zingerone: สารที่เกิดขึ้นเมื่อผ่านกระบวนการความร้อน มีบทบาทต้านอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบ และอาจปกป้องเซลล์จากความเสื่อม
สารเหล่านี้ทำงานเสริมฤทธิ์กันในการบำรุงสุขภาพ ช่วยลดการอักเสบระงับปวด ต้านเชื้อจุลชีพ และอาจช่วยควบคุมเมแทบอลิซึมของร่างกาย เมื่อเราต้มเหง้าขิงสดหรือแห้งกับน้ำจนได้เป็นน้ำขิง สารสำคัญเหล่านี้จะถูกสกัดออกมาในระดับหนึ่ง
รูปแบบการบริโภคและคำแนะนำในการดื่มน้ำขิง
1) รูปแบบของน้ำขิง
น้ำขิงสามารถเตรียมได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับความสะดวกและวัตถุประสงค์ของผู้ดื่ม วิธีพื้นฐานคือการใช้ขิงสดฝานหรือบด 1-2 ช้อนชา ต้มในน้ำประมาณ 1-2 ถ้วย เป็นเวลา 5-10 นาที สามารถเติมน้ำตาลทรายแดงหรือน้ำผึ้งเพื่อเพิ่มรสชาติ หรือเติมใบเตยเพื่อความหอม ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์น้ำขิงสำเร็จรูป เช่น ผงน้ำขิงชงพร้อมดื่ม หรือชาขิงในซองชงสะดวกจำหน่ายทั่วไป
สำหรับผู้ที่ไม่ชอบความเผ็ดร้อนมาก อาจลดปริมาณขิงลงหรือเติมน้ำมากขึ้น บางคนชอบดื่มน้ำขิงเย็น (Iced Ginger Tea) ซึ่งก็ดื่มง่ายและให้ความสดชื่น อีกทั้งยังสามารถผสมกับน้ำมะนาวหรือน้ำส้มเพื่อความหลากหลายของรสชาติ
2) ปริมาณและความถี่ที่เหมาะสม
แม้ว่าน้ำขิงจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการ แต่ควรดื่มในปริมาณที่เหมาะสม โดยทั่วไปการดื่มน้ำขิงวันละ 1-2 แก้ว (ขนาดแก้วละ ~250 มิลลิลิตร) ถือว่าเพียงพอสำหรับคนทั่วไป และการใช้งานวิจัยส่วนใหญ่แนะนำให้บริโภคขิงไม่เกิน 4 กรัมต่อวันในผู้ใหญ่ (อ้างอิง: 15)
สำหรับหญิงตั้งครรภ์ ควรบริโภคขิงไม่เกิน 1 กรัมต่อวัน และใช้เมื่อจำเป็นในช่วงเวลาสั้นๆ เพื่อความปลอดภัยสูงสุด ทั้งนี้ ควรปรึกษาแพทย์หรือพยาบาลผดุงครรภ์ก่อนดื่มน้ำขิงหรือรับประทานขิงในรูปแบบใดๆ โดยเฉพาะช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์
3) ข้อควรระวังในการดื่มน้ำขิง
- ปฏิกิริยากับยา: ขิงอาจเสริมฤทธิ์ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น วาร์ฟาริน หรือแอสไพริน และอาจมีผลเสริมฤทธิ์ยาลดน้ำตาลในเลือด (อ้างอิง: 16) ผู้ที่ใช้ยากลุ่มนี้เป็นประจำควรปรึกษาแพทย์ก่อนดื่มน้ำขิงปริมาณมาก
- ผลข้างเคียง: การดื่มน้ำขิงที่เข้มข้นหรือปริมาณมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองทางเดินอาหาร เช่น แสบร้อนกลางอก (Heartburn) หรือท้องเสีย โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาโรคกระเพาะหรือกรดไหลย้อน ควรระวังและเริ่มจากปริมาณน้อย
- การใช้ในหญิงตั้งครรภ์: แม้ว่าขิงจะถูกระบุว่ามีความปลอดภัยในขนาดต่ำ แต่หญิงตั้งครรภ์ควรปรึกษาแพทย์ก่อนดื่มน้ำขิง และใช้ไม่เกิน 1 กรัมต่อวัน (อ้างอิง: 17) เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่ไม่คาดคิด
- ภาวะสุขภาพอื่นๆ: ผู้ที่แพ้ขิง (พบได้น้อย) ควรหลีกเลี่ยง สำหรับผู้มีนิ่วในถุงน้ำดีควรปรึกษาแพทย์เพราะขิงอาจกระตุ้นการหลั่งน้ำดี และผู้ที่ต้องเตรียมผ่าตัดหรือทำฟันอาจต้องงดขิงล่วงหน้าประมาณ 1-2 สัปดาห์เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงเลือดออกง่าย
โดยสรุป น้ำขิงเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มสมุนไพรที่มีสรรพคุณครอบคลุมหลากหลายมิติ ทั้งด้านการบำรุงสุขภาพ การลดการอักเสบ การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และการบรรเทาอาการผิดปกติเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน งานวิจัยทั้งไทยและต่างประเทศต่างให้ข้อสรุปที่สอดคล้องกันว่าขิงมีประโยชน์อย่างมากต่อร่างกาย แต่การใช้งานควรมีขอบเขตและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ โดยเฉพาะในผู้ป่วยหรือผู้ที่มีโรคประจำตัว
หากใช้อย่างถูกต้องและไม่เกินขนาดที่เหมาะสม การดื่มน้ำขิงเป็นประจำก็อาจเป็นทางเลือกเสริมที่ช่วยให้เรามีสุขภาพที่แข็งแรงและสมดุลมากยิ่งขึ้น
แหล่งอ้างอิง (References)
- กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก. “ขิง สมุนไพรบำรุงธาตุ ขับลม แก้ท้องอืดเฟ้อ.”
- Hu, M. L., Rayner, C. K., Wu, K. L., Chuah, S. K., Tai, W. C., Chou, Y. P., … & Horowitz, M. (2011). Effect of ginger on gastric motility and symptoms of functional dyspepsia. World Journal of Gastroenterology, 17(1), 105–110.
- Mansour, M. S., et al. (2012). Ginger consumption enhances the thermic effect of food and promotes feelings of satiety without affecting metabolic and hormonal parameters in overweight men: a pilot study. Metabolism, 61(10), 1347–1352.
- Maharlouei, N., et al. (2019). The effect of ginger intake on weight and body mass index: a systematic review and meta‐analysis of randomized clinical trials. Phytotherapy Research, 33(3), 577-585.
- Grzanna, R., Lindmark, L., & Frondoza, C. G. (2005). Ginger—an herbal medicinal product with broad anti-inflammatory actions. Journal of Medicinal Food, 8(2), 125–132.
- Altman, R. D., & Marcussen, K. C. (2001). Effects of a ginger extract on knee pain in patients with osteoarthritis. Arthritis & Rheumatism, 44(11), 2531–2538.
- Daily, J. W., & Yang, M. (2015). Ginger extracts and its constituents are beneficial for human health. International Journal of Molecular Sciences, 16(6), 15625–15655.
- Akhani, S. P., Vishwakarma, S. L., & Goyal, R. K. (2004). Anti-diabetic activity of Zingiber officinale in streptozotocin-induced type I diabetic rats. Journal of Pharmacy and Pharmacology, 56(1), 101–105.
- Thomson, M., & Corbin, R. (2002). Potential therapeutic applications of ginger (Zingiber officinale) for rheumatic diseases. Nutritional Perspectives, 25(2), 28–31.
- Shirvani, M. A., et al. (2015). The effect of ginger extract on primary dysmenorrhea in teenage girls. Journal of Alternative and Complementary Medicine, 21(7), 414–419.
- Jenabi, E., Ebrahimzadeh Zagami, S., & Baboli, A. M. (2020). The effect of ginger for relieving of primary dysmenorrhea: a systematic review and meta-analysis. Nursing & Health Sciences, 22(4), 1081–1087.
- Verma, S. K., & Singh, R. P. (2008). Current and future status of herbal medicines. Veterinary World, 1(11), 347–350.
- วุฒิ วุฒิธรรมเวช. “ขิง สรรพคุณในตำราแพทย์แผนไทย.” วารสารการแพทย์แผนไทย.
- Ryan, J. L., et al. (2012). Ginger (Zingiber officinale) reduces acute chemotherapy-induced nausea: a URCC CCOP study of 576 patients. Supportive Care in Cancer, 20(7), 1479–1489.
- NCCIH – National Center for Complementary and Integrative Health (2022). “Ginger.” https://www.nccih.nih.gov/health/ginger
- Jiang, X., et al. (2019). Comparison of antiplatelet effects of gingerols and aspirin in rats. Phytotherapy Research, 33(10), 2756–2761.
- Vutyavanich, T., Kraisarin, T., & Ruangsri, R. (2001). Ginger for nausea and vomiting in pregnancy: randomized, double-masked, placebo-controlled trial. Obstetrics & Gynecology, 97(4), 577–582.