“น้ำขิง” ผสม “น้ำผึ้ง” ประโยชน์สองต่อที่คุณคาดไม่ถึง

ประโยชน์ของน้ำขิง อุดมไปด้วยคุณค่าของวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น วิตามินเอ, วิตามินบี 1, วิตามินบี 2, วิตามินซี, ธาตุฟอสฟอรัส, ธาตุแคลเซียม เป็นต้น ในปัจจุบัน “ขิง” ถูกนำมาสกัดเป็นเครื่องดื่มสำเร็จรูปสำหรับดื่มได้อย่างสะดวก บางคนก็อาจนำขิงมาต้มเป็นเมนูน้ำขิงร้อนๆ เพื่อสุขภาพ แต่หากใครไม่ชอบกลิ่นสมุนไพรฉุนๆ ก็สามารถนำไปผสมกับน้ำผึ้งเพิ่มรสชาติหอมหวานก็ได้เช่นกัน

ประโยชน์ของการดื่มน้ำขิงผสมน้ำผึ้งจะช่วยบำรุงลำไส้ และช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณด้านอื่นๆ ที่มีผลดีต่อร่างกายอีกมากมาย ได้แก่

  1. บำรุงสุขภาพหัวใจ

จากงานวิจัยของศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ ระบุว่า ขิงมีส่วนช่วยป้องกันการแข็งตัวของเลือดและช่วยลดคอเลสเตอรอล จึงอาจช่วยป้องกันความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดอุดตัน หรือหัวใจวายได้

  1. บรรเทาอาการคลื่นไส้และอาเจียน

ขิง และน้ำผึ้งมีส่วนช่วยป้องกันและบรรเทาอาการวิงเวียน คลื่นไส้และอาเจียน ไม่ว่าจะเป็นอาการคลื่นไส้จากการเมารถ เมาเรือ หรืออาการคลื่นไส้ของหญิงตั้งครรภ์ นอกจากนี้ยังเป็นตัวช่วยบรรเทาอาการปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด และช่วยรักษาอาการท้องเสียได้อีกด้วย ส่วนการดื่มในเวลาปกติจะช่วยบำรุงลำไส้ ช่วยย่อยอาหาร ทำให้ระบบขับถ่ายทำงานอย่างเป็นปกติ

  1. ช่วยต่อต้านสารอนุมูลอิสระ

ขิงและน้ำผึ้งก็อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยชะลอวัย ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ และลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งและบำรุงสุขภาพให้แข็งแรง

  1. ช่วยเพิ่มการเผาผลาญในร่างกาย

การดื่มขิงผสมน้ำผึ้งเป็นประจำช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเอนไซม์ชื่อว่า Acyl-CoA oxidase ที่มีส่วนช่วยกระตุ้นเมตาบอลิซึมหรือระบบเผาผลาญในร่างกายของเรา ทำให้ร่างกายดึงไขมันมาใช้เป็นพลังงานมากขึ้นก่อนขับออกมาในรูปของปัสสาวะ จึงมีส่วนช่วยลดน้ำหนักและลดไขมันในร่างกาย

  1. ช่วยให้รู้สึกสดชื่นผ่อนคลาย บรรเทาความเครียด

ฤทธิ์ร้อนจากขิง และกลิ่นหอมจากขิงและน้ำผึ้ง มีส่วนช่วยให้จิตใจรู้สึกสงบและผ่อนคลาย  นอกจากนี้ในน้ำผึ้งยังมีฤทธิ์ระงับประสาทอ่อนๆ ตามธรรมชาติ ช่วยคลายความวิตกกังวลและช่วยลดความเครียดได้อีกด้วย

“ความอุ่น” ลดความวิตกกังวล ในผู้สูงอายุได้

ถ้าคุณคือหนึ่งคนที่มักมีอาการเหล่านี้ หัวใจเต้นเร็ว ท้องไส้ปั่นป่วน ท้องเสียง่าย ขี้หนาว หายใจเร็ว หรือมีอาการคล้ายเป็นลม ทั้งหมดนี้เป็นหนึ่งในอาการที่เกิดจาก “ความวิตกกังวลอย่างสูง” (Panic Disorder)  

สิ่งหนึ่งที่จะช่วยลดความแพนิคหรือความวิตกกังวลใจนั้นได้ ก็คือ “ความอุ่น” จากอาหารหรือวิธีการเหล่านี้

1. ทานน้ำขิง หรือ น้ำอุ่น เพื่อให้อุ่นท้อง รู้สึกสบายขึ้น

2. เอาถุงร้อนมาประคบที่ท้องเมื่อรู้สึกปั่นป่วนในช่องท้อง หรือทำก่อนนอนก็ช่วยให้หลับได้สบายขึ้น

3. ลดการทานอาหารที่มีฤทธิ์เย็นเกินไป เช่น น้ำเย็น น้ำแข็ง น้ำมะพร้าว น้ำเต้าหู น้ำผักผลไม้ปั่น หรือสาลี่ เป็นต้น

4. หลีกเลี่ยงการอยู่ในห้องแอร์เป็นเวลานาน ๆ

5. ทานอาหารที่มีฤทธิ์ร้อน เช่น ขิง ขมิ้น พริกไทย กระชายเหลือง รากผักชี กระเพรา เป็นต้น



6. ออกกำลังกาย เพื่อให้ร่างกายรู้สึกอบอุ่นขึ้น

7. หากรู้สึกวิตกกังวล ลองล้างหน้าหรืออาบน้ำด้วยน้ำอุ่นดู จะทำให้รู้สึกดีขึ้นได้

8. หลีกเลี่ยงการเสพข่าวด้านลบ หรือเรื่องที่จะทำให้ไม่สบายใจ กังวลใจ

9. การสวดมนต์ หรือนั่งสมาธิ เป็นประจำก็ช่วยให้วาภะวิตกกังวลลดลงไปได้เช่นกัน

ด้วยความปรารถนาดี
#จินเจน #ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

“น้ำขิงอุ่นๆ” แก้ปวดไมเกรนได้

ขิง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Zingiber officinale Roscoe. จัดอยู่ในวงศ์ ZINGIBERACEAE ขิงมีฤทธิ์อุ่น ช่วยขับเหงื่อ ไล่ความเย็น ขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยให้เจริญอาหาร และทำให้ร่างกายอบอุ่น ในทางยานิยมใช้ขิงแก่ เพราะขิงยิ่งแก่จะยิ่งเผ็ดร้อนและมีใยอาหารมาก ขิงนอกจากจะเป็นพืชสมุนไพรที่มีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย อย่างโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม วิตามินเอ และอีกมากมายแล้ว ยังมีการศึกษาวิจัยล่าสุดในต่างประเทศ ทำการศึกษาวิจัยในการใช้ขิงรักษาอาการปวดไมเกรนอีกด้วย

โดยทำการศึกษาวิจัยในผู้ป่วยไมเกรน 100 ราย ในแผนกประสาทวิทยา ของโรงพยาบาลในประเทศอิหร่าน ผู้ป่วยทั้งสองกลุ่มมีระยะการเป็นไมเกรนมาประมาณ 7 ปี มีอาการปวดมากกว่า 2 ครั้งต่อเดือน เปรียบเทียบระหว่างการให้แคปซูลขิง 250 มิลลิกรัม กับยาแผนปัจจุบันชื่อ “ซูมาทริปแทน” ขนาด 50 มิลลิกรัม เมื่อมีอาการปวดไมเกรน ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มที่รับประทานขิง อาการปวดไมเกรนลดลงดีเทียบเท่ากับกลุ่มที่รับประทานยาแก้ปวดแผนปัจจุบัน คือ สามารถลดอาการปวดไมเกรนได้ถึง 60% ภายในเวลา 2 ชั่วโมงหลังรับประทานยา และพบว่าแคปซูลขิง มีข้อดีที่เหนือกว่ายาแผนปัจจุบัน คือ ไม่พบอาการข้างเคียงจากการรับประทานยา ในขณะที่ยาซูมาทริปแทน มักทำให้เกิดผลข้างเคียง คือ ง่วงนอน อาการแสบร้อนที่หน้าอก (Heartburn) 

การที่ขิงสามารถบรรเทาอาการปวดไมเกรนได้นั้น น่าจะมาจากการที่ขิงมีฤทธิ์ในการลดกระบวนการอักเสบ ลดอาการปวดในร่างกาย ลดการสร้างสารพรอสตาแกลนดิน (prostiglandins) ที่ทำให้ปวดและอักเสบ ซึ่งยังมีข้อมูลในการใช้ขิงในการบรรเทาอาการปวดข้อมาก่อนหน้านี้ อีกทั้ง ขิงยังมีสรรพคุณในการแก้คลื่นไส้ อาเจียน เวียนหัว ซึ่งอาการดังกล่าวมักพบว่าเป็นอาการนำก่อนที่จะมีอาการปวดไมเกรน จึงถือได้ว่าขิงเป็นสมุนไพรอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ป่วยไมเกรน และหากใครชื่นชอบการดื่มน้ำขิงอยู่แล้ว ก็สามารถจิบน้ำขิงอุ่นๆ เวลาปวดไมเกรนได้เช่นกันค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก: คมชัดลึก

ภาพจาก: Canva

#ด้วยความห่วงใย

#ขิงผงสำเร็จรูป #จินเจน

#ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

ช้อปจินเจนออนไลน์ได้ที่ shop.gingen.com

จินเจน สูตรไหนเหมาะกับคุณ!!

น้ำขิงจินเจนมีหลากหลายสูตร

แต่ละสูตรจะมีรสชาติแตกต่างกันอย่างไร❓

เราควรทานสูตรไหนนะ❓

วันนี้จินเจนมีคำตอบ

————————

ซื้อจินเจนได้ที่ห้างใกล้บ้านคุณ

สั่งออนไลน์ได้ที่👉 shop.gingen.com

————————

#ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

#ชงดื่มดีมีประโยชน์

#ปรุงอาหารก็อร่อย

ประโยชน์ของการกินเจ

คำว่า “เจ” ในภาษาจีนทางพระพุทธศาสนา หมายถึง “อุโบสถ หรือการรักษาศีล 8” ของศาสนาพุทธนิกายมหายาน ที่จะมีการรักษาอุโบสถศีล ไม่บริโภคอะไรหลังเที่ยงวันตามหลักศีล 8 ข้อ และไม่บริโภคเนื้อสัตว์ เพื่อเป็นการไม่เบียดเบียนสิ่งมีชีวิต ช่วงหลังจึงเรียกคนที่ไม่กินเนื้อสัตว์ว่า “กินเจ” ไปด้วย แต่ถึงกระนั้นการกินเจไม่ใช่เพียงแต่งดเนื้อสัตว์ อาหาร และเครื่องปรุงที่มีส่วนประกอบของเนื้อสัตว์ แต่ยังรวมถึงการรักษาศีล ประพฤติตัวเป็นคนดีทั้งกาย วาจา ใจ อีกด้วย

ช่วงเวลาเทศกาลกินเจ

ช่วงเทศกาลกินเจของทุกปี ตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ ถึง 9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีน ตรงกับเดือน 11 หรือเดือนตุลาคมของไทย ตามปฏิทินสากล รวมเป็นเวลาทั้งสิ้น 9 วัน 9 คืน

เทศกาลกินเจปี 2564 ปีนี้ตรงกับ ตรงกับวันที่ 6 ตุลาคม – 14 ตุลาคม 2564 รวมเป็นเวลา 9 วัน ซึ่งบางท่านอาจจะล้างท้องวันที่ 5 ตุลาคม เพื่อให้ร่างกายค่อยๆ ปรับสภาพ และทำความคุ้นเคยกับการกินเจได้ดียิ่งขึ้น รวมเป็น 10 วัน

ประโยชน์ของการกินเจ?

  1. กินเจ ทำให้สุขภาพดีขึ้น เพราะอาหารเจถือเป็นอาหารชีวจิตอย่างหนึ่ง ช่วยปรับสภาพร่างกายให้สมดุล ล้างพิษในร่างกาย รวมถึงช่วยเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงและทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะคนจีนเชื่อว่า เนื้อสัตว์เป็น “หยิน” และผักผลไม้เป็น “หยาง” โดยธรรมชาติคนเรามักทานเนื้อสัตว์เยอะกว่าผักผลไม้ การงดทานเนื้อสัตว์จึงเป็นการปรับให้หยินและหยางสมดุลมากยิ่งขึ้นด้วย
  2. กินเจ ได้ทำบุญ เนื่องจากได้ชำระล้างใจให้ใสสะอาด ไม่เบียดเบียนสัตว์โลก ทำให้จิตใจเราผ่องใสมากขึ้น เมื่อเราทราบว่าสิ่งที่เราทำเป็นเรื่องที่ดี ก็จะส่งผลต่อจิตใจที่เบิกบาน เป็นสุขขึ้น
  3. กินเจ ทำให้ได้ละเว้นกรรม ที่เกิดจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต หรือแม้กระทั่งการจ้างฆ่าเพื่อการบริโภค หากเราทราบว่าการงดบริโภคเนื้อสัตว์ เป็นการช่วยชีวิตสัตว์นับพันนับหมื่น เราก็จะช่วยลดกรรมของเราได้มากขึ้น


นอกจากเนื้อสัตว์แล้ว ห้ามกินอะไรบ้าง?

  1. ผักที่มีกลิ่นฉุน 5 อย่าง ได้แก่ กระเทียม (ไม่ดีต่อหัวใจ), หอมใหญ่ แดง ขาว ต้นหอม (ไม่ดีต่อไต), หลักเกียว ผักของจีน มีลักษณะคล้ายกระเทียมโทน (ไม่ดีต่อม้าม), กุยช่าย (ไม่ดีต่อตับ) และ ใบยาสูบ (ไม่ดีต่อปอดเมื่อใช้สูบ) นอกจากนี้ผักชนิดไหนที่มีกลิ่นฉุนก็ไม่ควรทานระหว่างช่วงกินเจด้วย
  2. นม เนย น้ำมัน และผลิตภัณฑ์จากสัตว์
  3. อาหารรสจัด ไม่ว่าจะเป็นเค็มจัด หวานจัด เปรี้ยวจัด หรือเผ็ดจัด
  4. เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
  5. ใครที่กินเจจริงจัง ห้ามทานอาหารบนภาชนะที่ใช้ร่วมกับผู้ที่ไม่ได้กินเจ และต้องทานอาหารที่ปรุงจากคนที่กินเจด้วยกันเท่านั้น


อาหารที่ทานได้ระหว่างกินเจ

  1. ชา กาแฟ ที่ไม่ใส่นม เนย หรือครีมเทียม
  2. วิตามินเสริมอัดเม็ด ที่ไม่มีสารสกัดจากสัตว์
  3. ขนมกรุบกรอบ ที่ไม่มีส่วนผสมของสัตว์
  4. พริกไทย เป็นสมุนไพร (แต่หากรู้สึกว่ามีกลิ่นฉุน สามารถเลี่ยงได้)
  5. ขนมปัง (ที่เป็นขนมปังเจ หรือไม่มีส่วนผสมของนม)
  6. มาม่า หรือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป (สูตรเจเท่านั้น)
  7. แต่งหน้า และฉีดน้ำหอม (สำหรับคนถือศีล 5 หากถือศีล 8 จะทำไม่ได้)

การกินเจอาจจะดูเป็นเรื่องยากสำหรับคนชอบทานเนื้อสัตว์ แต่ถ้าได้ลองกินเจแล้ว หลายคนก็ติดใจเนื่องจากจะได้สุขภาพที่ดีขึ้นแล้ว ก็ยังอิ่มบุญอิ่มใจจากการถือศีลอีกด้วยค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก สสส. , Sanook.com


ด้วยความปรารถนาดี
#จินเจน
#ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

8 เคล็ดลับ!! รับมือกับ “ความเครียด”

“ความเครียด” เป็นหนึ่งสาเหตุของปัญหาสุขภาพมากมาย ทั้งสุขภาพของร่างกาย และสุขภาพของจิตใจ

หากเราเริ่มรู้ตัวว่ากำลังตกอยู่ในภาวะเครียด หรือกำลังมีเรื่องกังวลทำให้ทุกข์ใจอยู่ ควรหาวิธีผ่อนคลาย ลดความเครียดเหล่านั้นลง เพื่อสร้างกำลังใจ ให้กลับมาสู้กับปัญหาเหล่านั้นอย่างมีสติได้ต่อไป

วันนี้เรามี 8 เคล็ดลับ ที่ทำได้ง่ายๆ เพื่อรับมือกับความเครียดมาฝากกันค่ะ

1. หายใจลึกๆ เป็นขั้นตอนแรกๆที่แนะนำให้ทำ เพราะการหายใจเข้าลึกเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายเพิ่มขึ้นแล้ว ยังเป็นการเรียกสติกลับมาให้อยู่กับลมหายใจ และตั้งรับกับปัญหาได้ดีขึ้น
 

2. ยืดเส้นยืดสายเบาๆ อีกหนึ่งวิธีลดความตึงเครียดที่หลายคนใช้ เหมือนเป็นการเปลี่ยนโฟกัสจากปัญหาที่กำลังคิดวนอยู่ ไปอยู่กับเรื่องอื่น โดยเฉพาะการออกกำลังกาย ที่ได้ออกแรง เรียกเหงื่อ ซึ่งจะช่วยให้สารอะดรีนาลีนหลั่งมามากขึ้น ช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้น และพร้อมกลับมาจัดการกับปัญหาต่างๆได้ดียิ่งขึ้น

3. จิบน้ำหรือน้ำขิงอุ่นๆ ว่ากันว่าหนึ่งในสรรพคุณของน้ำขิง ก็คือช่วยในการผ่อนคลาย อุ่นท้อง ปรับสมดุลในร่างกาย เมื่อสมองและร่างกายผ่อนคลายขึ้น ก็เป็นการช่วยลดความเครียดลงได้นั่นเอง

4. ฟังเพลง / ฮัมเพลงที่ชอบ  ก็เป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับลดความเครียด ด้วยการเปลี่ยนบรรยากาศมาฟังเพลงที่เราชอบให้เพลินๆไปสักระยะ แล้วค่อยกลับมาคิดแก้ปัญหากันใหม่ แบบนี้ก็ช่วยได้เหมือนกันนะคะ

5. หลับตาสักพัก หรือจริงๆก็งีบสักพักก็ได้นะคะ ลองปิดรับข้อมูลจากทุกช่องทางประสาทสัมผัสสักครู่ ก็จะเป็นการพักจากปัญหา ชาร์จพลัง แล้วค่อยกลับมาสู้ใหม่กันค่ะ

6. นึกถึงเรื่องขำ ๆ ที่ทำให้หัวเราะได้  ข้อนี้ถ้าใครนึกเรื่องขำๆไม่ค่อยออก ก็แนะนำลองเปิดดูคลิปตลก หรือคลิปที่เคยทำให้เราหัวเราะได้มาดูอีกที ได้หัวเราะบ้างในช่วงที่เครียดๆ ก็ช่วยผ่อนคลายได้ดีเหมือนกันนะคะ

7. คุยกับใครสักคนที่ไว้ใจ  เรื่องเครียดบางเรื่อง เราอาจจะแก้ปัญหาไม่ออกด้วยตัวเราเอง หรืออาจจะเป็นเรื่องที่ยังแก้ไม่ได้ แต่การได้พูดคุย ได้ระบายกับใครสักคนที่เราไว้ใจ ก็สามารถช่วยให้เรื่องที่อัดแน่นอยู่ในความคิดตอนนั้น ค่อยคลี่คลายออกมาก็ได้ และบางที เราก็อาจจะได้มุมมองใหม่ๆ หรือทางออกของปัญหาจากคนที่เราคุยด้วยก็ได้นะคะ

8. ทำใจยอมรับแล้วมันจะผ่านไป  เคล็ดลับข้อสุดท้ายนี้ เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องทำความเข้าใจว่า ไม่ว่าเรากำลังแบกรับเรื่องอะไรอยู่ตอนนี้ ไม่ว่าเราจะมีความเครียดมากน้อยเพียงใด ให้เข้าใจว่า มันก็จะมีทางออกของมันไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง ที่สำคัญคือต้องตั้งสติ ไม่คิดอะไรที่ไม่ดี ที่จะเป็นการสร้างปัญหาที่มากขึ้น แล้วเวลาก็จะทำให้เรื่องนั้นๆมันก็จะผ่านไปได้

ขอให้อดทน คิดดี ทำดีเอาไว้ แล้วเราจะผ่านเรื่องๆร้ายๆไปด้วยกันะคะ

#ด้วยความห่วงใย
#จินเจน
#ดื่มน้ำขิงดื่มจินเจน

ประโยชน์ของ “ขิง” ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

มีงานวิจัยหลาย ๆ ชิ้นที่ระบุว่า ขิงมีสารต้านอนุมูลอิสระ (anti – oxidant) และสารต้านการอักเสบ (anti-inflammatory) อยู่มากมาย เช่น Gingerol, Shogoal และ Paradoal โดยพบว่า ขิงสามารถช่วยลดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อหลังจากการออกกำลังกายได้ นอกจากนี้ สารในขิงบางตัว ยังทำหน้าที่ป้องกันการเจริญเติบโตและการกลายพันธุ์ของเซลล์มะเร็งได้หลากหลายชนิด แต่ก็ยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยในระดับหลอดทดลองและสัตว์ทดลองเท่านั้น ยังคงต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมอีกในเรื่องนี้

อย่างไรก็ตาม ขิงก็ยังเป็นสมุนไพรที่ดีและมีประโยชน์มากต่อร่างกาย ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคต่าง ๆ โดยฤทธิ์ร้อนของขิงจะไปช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดให้ดีขึ้น เพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย ยังมีบางรายงานการศึกษายังระบุเพิ่มเติมว่าขิงสามารถช่วยเพิ่มการเผาผลาญได้อีกด้วย ในทางการแพทย์แผนไทยฤทธิ์ร้อนจากขิงสามารถช่วยลดการกำเริบของเสมหะและลม ซึ่งจะพบในโรคหวัด ไอ หอบหืด ตำรับน้ำขิงแก้หวัดแก้ไอจึงเป็นที่รู้จักกันดีสำหรับคนไทย

เราสามารถนำขิงมาต้มน้ำ ทำเป็นน้ำขิงสำหรับดื่ม หรือ อาจจะนำขิงไปผัดคู่กับเนื้อสัตว์ประเภทต่าง ๆ เช่น ปลาผัดขิง ก็จะได้คุณค่าทางโภชนาการที่ดีขึ้น

ในปัจจุบัน เพื่อลดความยุ่งยากในการหาขิงสดมาปรุงอาหาร หรือต้มดื่ม และปัญหาของการเก็บรักษาขิงสดไว้เป็นระยะเวลานานไม่ได้ จึงมีผลิตภัณฑ์ขิงผงสำเร็จรูปมาทดแทน ซึ่งควรเลือกผลิตภัณฑ์ขิงผงสำเร็จรูปที่สกัดจากขิงธรรมชาติแท้ 100% รวมถึงมีมาตรฐานการผลิตที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากลเพื่อความมั่นใจถึงคุณภาพและสรรพคุณของขิงที่ยังคงไว้อย่างครบถ้วน

ผลิตภัณฑ์ขิงผงสำเร็จรูปตราจินเจนอยู่คู่กับคนไทยมานานกว่า 40 ปี  ซื้อสินค้าจินเจนทางออนไลน์ได้ที่ https://shop.gingen.com

ขิงมีฤทธิ์ร้อน กรดไหลย้อนขิงก็ช่วยได้

โรค “กรดไหลย้อน” จะมีอาการแสบร้อนกลางอก ใครเป็นก็จะรู้ว่ามันทรมานมากเลย ซึ่งหลายคนมักเข้าใจผิดว่า หากมีอาการแสบร้อนก็คงห้ามกินของที่มีฤทธิ์ร้อนเข้าไปอีก แต่ถ้ารู้จักกับสรรพคุณของสมุนไหรฤทธิ์ร้อนอย่าง “ขิง” แล้ว คุณจะเปลี่ยนความคิดแน่นอน

ก่อนอื่น เรามาดูว่าทำไมอาการกรดไหลย้อนถึงทำให้เรารู้สึก “แสบร้อนท้อง หรือหน้าอก” นั่นเป็นเพราะว่าเรากำลังมีแผลที่หลอดอาหารและกระเพาะอาหาร และถ้าไม่รีบรักษาแผลก่อนกรดไหลย้อน ก็จะยิ่งหายช้ามาก ร่างกายจะไม่หลั่งกรดออกมาเต็มที่เพราะกลัวเจ็บ พอเป็นแบบนี้ การย่อยก็จะแย่ อาการท้องอืดก็จะตามมา จนเป็นโรคเรื้อรังได้เลย


ซึ่งเราสามารถรักษาแผลที่ว่านี้ได้ด้วย “ขิง” นั่นเอง

คุณสมบัติของขิงที่ช่วยกรดไหลย้อน
– ขิงมีฤทธิ์ช่วยลดการอักเสบของแผลได้ดีทำให้ร่างกายไม่กลัวการหลั่งกรด
– ขิงมีเอ็นไซม์ซิงจิเบนช่วยย่อยได้ดี ลดภาระการทำงานของกระเพาะอาหาร
– ขิงลดการเกิดแก๊ส ท้องอืด ช่วยขับลมได้ดี
– ขิงช่วยให้กระเพาะบีบอาหารไปที่ลำไส้เล็กได้เร็วขึ้น ลดอาการกำเริบของกรดไหลย้อน
– จิบน้ำขิงทั้งวัน เพิ่มการดื่มน้ำทีละนิดทั้งวัน ยังกระตุ้นการขับถ่ายได้ดีอีกด้วย

ด้วยความห่วงใย

จินเจน

ขอบคุณข้อมูลจาก hashicenter.com

ลดความเครียดด้วย “น้ำขิง”

จากหลายผลวิจัยบอกว่า “ความเครียด” เป็นสาเหตุหนึ่งของโรคต่างๆ แค่เครียดก็แย่แล้วยังจะต้องเจ็บป่วยเพราะความเครียดที่สะสมนานๆก็คงไม่ไหวนะคะ

การรับมือความเครียดของแต่ละคนก็แตกต่างกันออกไป บ้างก็ดูหนังฟังเพลง หรือไม่ก็ไปออกกำลังกาย แต่ วันนี้ขอเสนออีกหนึ่งเคล็ดลับดีๆสำหรับลดความเครียดมาฝากกันค่ะ ซึ่งก็คือ การดื่มน้ำขิง นั่นเเอง 

ขิงเป็นพืชล้มลุกมีลำต้นใต้ดินมีลักษณะคล้ายมือหรือที่เรียกว่า “เหง้า” เปลือกเหง้ามีสีเหลืองอ่อนแต่เนื้อภายในมีสีเหลืองอมเขียว จัดเป็นพืชตระกูลเดียวกันกับข่า ขมิ้น โดยขิงอ่อนมีสีขาวออกเหลือง รสเผ็ดและมีกลิ่นหอม ยิ่งแก่จะยิ่งมีรสเผ็ดร้อน ลักษณะเป็นกอสูงประมาณ 90 เซนติเมตร ก้านใบเป็นกาบหุ้มซ้อนกัน ใบ เป็นใบเดี่ยวออกสลับเรียงกันเป็นสองแถว มีรูปร่างคล้ายใบไผ่ ปลายใบเรียวแหลม ดอก มีสีขาวออกเป็นช่อบนยอดที่แยกออกมาจากลำต้น ดอกมีลักษณะเป็นทรงพุ่มปลายดอกแหลม มีเกล็ดอยู่รอบ ๆ ดอกจะแซมออกมาตามเกล็ด ผล มีลักษณะกลมแข็ง

ขิงมีคุณสมบัติขับลม แก้ท้องอืด จุกเสียด แน่นเฟ้อ คลื่นไส้ อาเจียน หอบ ไอ ขับเสมหะ ซึ่งสารสำคัญในน้ำมันหอมระเหย จะออกฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้ โดยวิธีนำมาทำยารับประทานใช้ขิงแก่ทุบหรือบดเป็นผง ชงน้ำดื่ม แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน แก้จุกเสียด แน่นเฟ้อได้ ส่วนขิงสดช่วยย่อยอาหาร เนื่องจากทานมากจนเกินไปหรือมีอาการเมารถ โดยวิธีทำยารับประทานนำขิงสดมาทุบให้แหลก คั้นเอาแต่น้ำผสมกับน้ำมะนาวครึ่งช้อนโต๊ะ และเกลือประมาณหยิบมือ ดื่มทันทีจะช่วยลดแก๊ส แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานเป็นปกติหรือจะจิบแก้ไอ ขับเสมหะก็ได้ นอกจากนี้การดื่มน้ำขิงร้อน ๆ ต้มหอม ๆ กลิ่นของมันยังช่วยทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายจากความเครียดได้ดีอีกด้วย

ทั้งขิงแก่และขิงอ่อนยังให้สารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของเราอีกมากมาย เช่น พลังงาน โปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส ฯลฯ หากใครจะนำขิงไปปรุงอาหารเป็นขิงผัดเครื่องในไก่ หรือใส่ขิงรับประทานกับโจ๊กก็อร่อยแถมได้ประโยชน์เช่นกันนะคะ

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

6 เคล็ดลับ สร้างความสัมพันธ์ในครอบครัว

สำหรับหลายคน บ้านเป็นที่ชาร์จพลังกายและพลังใจอย่างดี แต่บ้านก็ไม่ได้หมายถึงสถานที่เพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงคนที่อยู่ที่บ้านหรือครอบครัวของเราด้วย

ครอบครัวที่แบ่งปันความรักและความห่วงใยให้กันและกันนั้น จะทำให้เกิดความสุขขึ้นในบ้าน และจะยิ่งดีมากขึ้นไปอีก หากรู้เราวิธีสร้างความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวให้แน่นแฟ้นขึ้น  เรามาดู 6 เคล็ดลับ ที่จะช่วยสร้างความผูกพันระหว่างคนในครอบครัวให้รักและใกล้ชิดกันมากขึ้นกันค่ะ

1. อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา
หลายครอบครัวมักละเลยตรงจุดนี้ จนส่งผลต่อความสัมพันธ์ในครอบครัวระดับรุนแรง แนะนำให้หาเวลาพูดคุยกับคนอื่นๆ ในครอบครัวให้มากขึ้น จัดกิจกรรมต่างๆ ให้คนในครอบครัวได้มีส่วนร่วมในทุกๆ สัปดาห์ บ้านจะน่าอยู่ขึ้นอีกเป็นกองเลย รับรองได้

2. แสดงออกถึงความรัก
หลายคนอาย เขิน และไม่กล้าบอกรักให้คนในครอบครัวฟัง หรือ หลายคนเลือกไม่กอดกัน เพราะอ้างว่าแสดงออกไม่เป็น แต่รู้หรือไม่การที่ได้กอดและบอกรักคนในครอบครัวนั้น มันดีต่อใจและช่วยกระตุ้นความสุขให้กับคนที่ได้รับแรงกอดและคำพูดเหล่านั้นอย่างแท้จริง

3. สื่อสารบ่อยๆ กระชับกความสัมพันธ์
สื่อสารในที่นี้ ไม่ใช่การเถียงหรือตะโกนใส่กัน แต่คือการพูดด้วยภาษาที่นุ่มนวล อบอุ่น และแสดงออกถึงความห่วงใย เช่น กลับมาเหนื่อยๆ กินน้ำก่อนไหม ไปอาบน้ำก่อน จะได้ลงมากินข้าวกัน โดยความจริงใจจากคำพูดที่มอบให้ จะเป็นกุญแจสำคัญที่สร้างให้ชีวิตครอบครัวมีความสุข และลดความตึงเครียดภายในที่เกิดขึ้นได้

4. วันสำคัญอย่าลืมกัน
มีผู้เชี่ยวชาญเคยบอกไว้ว่า วันสำคัญของคนในครอบครัว เช่น วันเกิด วันครบรอบแต่งงาน หรือวันเทศกาลต่างๆ เป็นวันที่เชื่อมร้อยความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวได้เป็นอย่างดี การจัดงานเล็กๆ ภายในบ้าน การไปกินข้าวพร้อมกัน หรือการมอบขวัญสุดพิเศษให้คนในครอบครัวที่คุณใส่ใจ เป็นการผูกมัดสายใยความสัมพันธ์ให้กลมเกลียวมากขึ้น

5. อย่าเพ่งโทษกัน
การอธิบายด้วยเหตุผล เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ครอบครัวฟังและเข้าใจกันมากขึ้น และยามเกิดปัญหา อย่านำพาตัวเองไปติดกับดักอารมณ์ ต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายด้วยการกระทำหรือคำพูด เพราะมันจะทำให้เกิดภาพลบ และส่งผลไม่ดีลงต่อชีวิตครอบครัวของคุณเอง เวลาเกิดปัญหา อย่าเกี่ยงกันว่าใครผิด ใครถูก เมื่อปัญหาเกิดขึ้นแล้ว ให้แก้ไขและหาทางออกร่วมกัน สื่อสารกันอย่างละมุนละม่อม โดยเฉพาะสมาชิกในครอบครัวที่เป็นเด็ก ยิ่งต้องใส่ใจเป็นพิเศษ

6. ความเสมอภาคคือคุณภาพ
การพิจารณาคนในครอบครัวแต่ละคนอย่างเท่าเทียมกัน ไม่เลือกข้างหรือโน้มเอียงไปทางฝั่งใดฝั่งหนึ่ง ถือเป็นคุณสมบัติที่ดีของการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัว เพราะการไม่เลือกปฏิบัติ จะทำให้คนในครอบครัวทุกคนเคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกัน ฟังและยอมรับความคิดเห็นระหว่างกันมากขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก Bewellstyle.com